LIFESTYLE

5 ความเชื่อรักษ์โลกแบบผิดๆ

5 ความเชื่อรักษ์โลกแบบผิดๆ

ที่ยิ่งทำให้โลกแย่ลงกว่าเดิม!

Posted on: Aug 13, 2022

อยากรักษ์โลกต้องทำยังไง ?

ใช้ถุงผ้า ! ปลูกป่า ! สร้างฝาย ! ใช่แล้วสิ่งที่คิดมาทั้งหมดนั้นไม่มีผิด และอาจมีหลายคนเข้าใจว่ายิ่งใช้ยิ่งทำยิ่งสร้างจะสามารถช่วยโลกของเราให้ดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าทำไม่ถูกวิธีหรือเข้าใจผิดไปเล็กน้อย ความตั้งใจในการช่วยเหลือโลกครั้งนี้จะกลายเป็นการทำร้ายโลกในทันที !
 
วันนี้เราเลยจะพาคุณมารู้จักกับ 5 วิธีการรักษ์โลกแบบผิดๆ ที่อาจทำให้โลกแย่ลงกว่าเดิมจะมีวิธีไหนบ้างไปชมกัน !

เชื่อว่าหลายคนมีข้อถกเถียงอยู่ในใจตอนนี้ว่าใช้ถุงผ้าแล้วมันไม่ดีต่อโลกยังไง ซึ่งเราคงต้องบอกว่าจริงๆแล้วถุงผ้านั้นดีกว่าถุงพลาสติก เพราะมีความคงทนกว่า ใช้ซ้ำได้มากกว่า แต่ถ้าเราใช้แค่ครั้งสองครั้ง หรือต้องซื้อซ้ำบ่อยๆ เวลาลืมเอาไปซุปเปอร์มาเก็ตด้วย ก็อาจทำให้โลกร้อนมากกว่าเดิม

เพราะการผลิตถุงผ้าแต่ละใบนั้นต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ฝ้าย 1 กก. ต้องใช้น้ำมากถึง 7,000-23,000 ลิตร ใช้ปุ๋ยเคมี 457 กรัม และใช้ยาฆ่าแมลง 16 กรัม ทำให้มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจำนวนมาก แถมยังเป็นพิษต่อสภาพดิน

โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ ได้ทำการวิจัยออกมาว่า การนำถุงผ้าฝ้ายมาใช้ซ้ำ 50 ครั้ง ก็ยังทำให้โลกร้อนมากกว่าการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ซ้ำในจำนวนเท่ากัน ถึง 10 เท่า นั่นหมายความว่า ต้องใช้กระเป๋าผ้าฝ้ายใบเดียวซ้ำ 7,000-20,000 ครั้ง หรือใช้ทุกวันเป็นเวลา 54 ปี ถึงจะคุ้มค่าในการผลิต

ดังนั้นเราจึงไม่ควรเปลี่ยนถุงผ้าบ่อยแนะนำให้ใช้ซ้ำ และไม่จำเป็นต้องใช้แค่ถุงผ้าอย่างเดียว ถุงพลาสติก หรือถุงกระดาษ ที่ใช้แล้วก็สามารถนำมาใช้ซ้ำเพื่อช่วยโลกของเราได้

ความต้องการสินค้ารักษ์โลกยังไม่มากพอ ทำให้ต้นทุนการผลิตยังสูงกว่าสินค้าทั่วไป

แม้ว่าปัจจุบันหลายคนเริ่มหันมาสนใจ สินค้ารักษ์โลกกันมากขึ้นแต่ความต้องการก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้สามารถขายสินค้าในราคาปกติได้โดยไม่ขาดทุน จึงต้องขายในราคาที่สูง เพื่อให้กำไรนั้นครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด อีกทั้งยังมีวิธีการผลิต และขนส่งที่ยากกว่า

ง่ายๆ ก็คือสั่งผลิตน้อยเลยได้เรทราคาสูง แต่ถ้าคนหันมาสนใจมีการผลิตเยอะก็จะได้เรทที่ถูกลงมา ทำให้ขายในราคาถูกลงได้

แต่มองให้ดีก็มี สินค้ารักษ์โลก ที่คุ้มค่าในระยะยาวอยู่นะ เช่น ถ้วยอนามัยที่สามารถใช้ได้นานถึง 10 ปี ในราคาประมาณ 1,000 บาท เท่ากับว่าเราจะเสียค่าผ้าอนามัยเฉลี่ยเดือนละ 8 บาท ! และนับว่าเป็นสิบปีที่เราจะไม่ต้องเพิ่มขยะจากผ้าอนามัยในแต่ละเดือนให้กับโลกใบนี้อีกด้วย

ฝายชะลอน้ำ คือ สิ่งก่อสร้างที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อขวางทางน้ำ ในพื้นที่ต้นน้ำ หรือพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำที่จะมากัดเซาะดินบนบริเวณสองฝั่งลำธารไม่ให้พัง และช่วยกักเก็บน้ำในป่าเสื่อมโทรมที่ถูกทำลายและเก็บน้ำไม่ได้

แต่ฝายก็ได้สร้างปัญหามากมายตามมาภายหลัง เพราะมีหลายครั้งที่ไปสร้างบริเวณป่าที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นในฤดูฝนจนท่วมต้นไม้ที่มีอายุยืนนานมาหลายสิบปีตาย พอฤดูแล้งน้ำก็หยุดไหลกลายเป็นน้ำนิ่งและเน่า ขาดออกซิเจนจนทำให้ปลาและสิ่งมีชีวิตในลำธารตาย

เช่น ก่อนสร้างฝายบนดอยอินทนนท์ ในลำธารจะมี “ปลาค้างคาวดอยอินทนนท์” สัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย ที่พบได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นในโลก แต่หลังจากมีการสร้างฝายบนน้ำห้วยทรายเหลืองในอุทยานแล้ว ก็ไม่พบปลาค้างคาวชนิดนี้อีกเลย

ดังนั้นจึงควรศึกษาพื้นที่ในการสร้างฝายก่อนว่าจำเป็นขนาดนั้นไหม ถ้าพื้นตรงนั้นอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วก็ไม่ควรสร้างเพราะอาจส่งกระทบในระยะยาวแก่สัตว์น้ำและต้นไม้บริเวณนั้น

หลายคนคงเข้าใจว่าขยะที่ถูกทิ้งไปไม่ว่าจะแยกหรือไม่แยกสุดท้ายก็ถูกเทรวมกันในรถขยะอยู่ดี แต่ความเป็นจริงคือ “พวกเขาต้องทำงานแข่งกับเวลา” เลยต้องรีบเทรวมและไปแยกบนรถขยะอีกที ก่อนจะส่งให้โรงงานรับซื้อของเก่า หรือโรงงานจัดการขยะรีไซเคิลขยะประเภทต่างๆ

ดังนั้นการแยกขยะจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้พี่พนักงานเก็บขยะทำงานรวดเร็วขึ้นเอาเวลาที่เสียไปกับการแยกขยะมาเก็บขยะให้พวกเราได้มากขึ้น และยังช่วยลดมลพิษที่เกิดจากขยะได้อีกด้วย

วิธีแยกขยะทั่วไป (ล้างสะอาดแล้วตากให้แห้ง ก่อนใส่ถุงไปทิ้ง) เช่น ถุงแกง , ขวดพลาสติก , กล่องข้าว , กล่องนม , ขวดแก้ว , กระป๋องอลูมิเนียม

‘ปลูกป่าช่วยลดโลกร้อน’ เชื่อว่าหลายคนนิดถึงคำนี้เมื่อพูดถึงปัญหาภาวะโลกร้อน แถมยังมีการศึกษาจำนวนมากที่เคยระบุว่า ต้นไม้จะช่วยดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้ปริมาณมหาศาล จนทำให้หลายประเทศทั่วโลกต่างอนุมัติโครงการและแคมเปญปลูกป่าเพราะเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาโลกร้อนนี้ได้

แต่ในความเป็นจริง ทางนิตยสารทางวิชาการ “ความยั่งยืนของธรรมชาติ” เพิ่งตีพิมพ์งานวิจัย 2 ฉบับ ได้ออกมาเตือนว่า การปลูกป่าขึ้นมาใหม่จะต้องทำอย่างระมัดระวังมาก เพราะส่วนมากจะปลูกพืชชนิดเดียวหรือพืชไม่กี่ชนิด และเน้นปลูกพืชที่ให้ผลผลิต เช่น ผลไม้หรือยาง มากกว่าจะเป็นการฟื้นฟูป่าธรรมชาติจริงๆ ส่งผลให้มีการดูดซับคาร์บอนน้อยลง และการสร้างถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่าก็น้อยกว่าป่าธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ

ยิ่งสำคัญไปกว่านี้คือการที่หลายคนเอาต้นไม้อะไรก็ได้มาปลูกในบริเวณป่าที่ไม่เคยมีไม้ชนิดนี้มาก่อน จนเกิดการแพร่ระบาดของโรคแมลงและศัตรูพืชต่างๆใหม่ๆที่จะตามมา จนต้นไม้เดิมที่เคยมีอยู่ต้องล้มตายไป

เราจึงขอสรุปว่าจริงๆแล้ว ‘ปลูกป่าช่วยโลกร้อน’ สามารถทำได้และเป็นโครงการที่ดี แต่ก่อนจะปลูกก็ต้องศึกษาสภาพแวดล้อมของบริเวณป่าเดิมให้ดีก่อนปลูก ไม่เช่นนั้นเราอาจกลายเป็นคนทำร้ายโลกโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็ได้

 

Share :

Related Posts